ความรู้เบื้องต้นในการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง

  • ตัวถังและ โครงสร้าง เพื่อจะดูว่ามีการพลิกคว่ำ หรือชนที่รุนแรงมาก่อนหรือไม่ โดยสังเกตจากรอยตะเข็บ รอยเชื่อมต่างๆ มีความผิดปกติหรือไม่ ความโค้งงอของเสาประตู ได้รูปหรือไม่ นอกจากนั้นก็ดูสีรถไปด้วย ว่ามีร่องรอยการซ่อมสีมาอย่างไร นอกจากนั้นก็ต้องดูว่าสีรถมีตำหนิ บวม หรือซีดหรือไม่ เพื่อคำนวณค่าซ่อมแซมสี ซึ่งจะตกจุดละประมาณ 2,000-3,000 บาท ซึ่งหากมีจุดที่ต้องซ่อมมาก ก็อาจจะไม่คุ้มที่จะซื้อ
  • เครื่องยนต์ ลองสตาร์ทดูว่า เครื่องเดินเรียบดีหรือไม่ มีอาการสะดุดหรือมีเสียงผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ และควรจะเดินไปดูท้ายรถว่าที่ท่อไอเสีย มีควันขาวหรือควันดำที่ผิดปกติหรือไม่ ทั้งเสียงวาล์ว เพลาข้อเหวี่ยง หรือลูกปืนไดชาร์จ ไดสตาร์ท เป็นต้น และอาจจะใช้วิธีการดมควบคู่กันไป เพราะหากไอเสียมีกลิ่นฉุนมาก แสดงว่าเครื่องยนต์เผาไหม้ ไม่สมบูรณ์
  • ระบบปรับอากาศ ตรวจดูว่า ตู้แอร์มีเสียงพัดลมดังผิดปกติหรือไม่ ด้วยการเปิด-ปิด แอร์ ถ้าเปิดแล้วเสียงดัง ปิดแล้วเงียบ แสดงว่าเริ่มมีปัญหา ดูร่องรอยการซึมของเหลวตามจุดต่างนอกเสื้อแอร์
  • ระบบเกียร์ การตรวจสอบระบบเกียร์ ไม่ได้ยากดังที่หลายคนคิด วิธีการสำหรับเกียร์อัตโนมัติ โดยการเลื่อนคันเกียร์ไปตำแหน่ง D ดูว่ามีการกระตุกที่รุนแรงผิดปกติหรือไม่ และลองใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรก (เพื่อความปลอดภัยควรใช้เบรกมือควบคู่กันไปด้วย) จากนั้นใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากรอบเครื่องยังอยู่ในระดับประมาณ 2,000 รอบ/นาที ถือว่าปกติ แต่ถ้ารอบเครื่องขึ้นไปได้ถึง 2,500-3,000 รอบ ก็แสดงว่าชุดคลัตช์เริ่มลื่นแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายในการซ่อมก็อยู่ในระดับประมาณ 2 หมื่นบาทถึงหลักแสน ส่วนเกียร์ธรรมดา ก็ให้ลองเหยียบเบรก เข้าเกียร์แล้วปล่อยคลัตช์ ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับ ก็แสดงว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนคลัตช์แล้ว
  • สภาพห้องโดยสาร เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะต้องดูอย่างละเอียด รวมถึงระบบไฟฟ้า เช่นกระจกไฟฟ้า ไฟส่องสว่าง ไฟเลี้ยว และดูว่าสัญญาณต่างๆว่าใช้ได้เป็นปกติหรือไม่ โดยที่ส่วนหน้าปัดนั้น เมื่อบิดกุญแจมาที่ตำแหน่ง ON สัญญาณต่างๆจะต้องติดทั้งหมด และเมื่อติดเครื่องยนต์สักพักหนึ่ง สัญญาณทั้งหมดที่แสดงขึ้นมาจะต้องดับ หากสัญญาณใดไม่ดับ แสดงว่าอุปกรณ์นั้นๆมีปัญหา
  • เมื่อตรวจทุกอย่างจนเห็นว่าน่าพอใจแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญก็คือ ทดลองขับ ในทุกระดับความเร็ว เพื่อตรวจจับอาการของรถว่าเป็นปกติหรือไม่ และจะให้ดีควรขับในเส้นทางหลายๆสภาพ โดยช่วงการขับก็ให้ฟังว่ามีเสียงผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งเสียงเครื่องยนต์ เสียงช่วงล่าง แล้วก็ดูการทำงานของมาตรวัดต่างๆ และอย่าลืมดูความร้อนว่าผิดปกติอย่างไรหรือไม่ และควรจะดูการทำงานของเกียร์ไปด้วย ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ดูว่าเปลี่ยนเกียร์ได้ครบทุกเกียร์ หรือไม่ เช่นเดียวกันเกียร์ธรรมดา ก็ควรจะพยายามลองขับให้ครบทุกเกียร์ และจับความรู้สึกของเกียร์ ว่าเข้าเกียร์ได้ปกติหรือไม่ มีเสียงดังหรือไม่