ความรู้รถยนต์เบื้องต้นระบบเกียร์ออโต้
การใช้งานรถยนต์เกียร์ออโต้ทั่วไป มีลักษณะการใช้งานพื้นฐานที่เหมือนกันคือ
ตำแหน่ง P, R, N, D, 3, 2, 1 หรือ L
ตำแหน่ง P สำหรับจอดรถแล้วไม่ต้องการให้รถขยับ ทำหน้าที่คล้ายกับเบรกมือ
ตำแหน่ง R ใช้ถอยหลัง
ตำแหน่ง N ใช้เป็นเกียร์ว่าง
ตำแหน่ง D ใช้สำหรับขับเคลื่อนบนพื้นที่ราบ และพื้นที่ซึ่งมีความลาดชันไม่มาก
ตำแหน่ง 2 เครื่องยนต์จะใช้เกียร์ 1 ถึงเกียร์ 2 สำหรับทางลาดชันมาก
ส่วนตำแหน่ง 1 หรือ L นั้น เป็นเกียร์เดียวกัน คือเกียร์ 1 ซึ่งขึ้นอยู่กับการออกแบบของบริษัทรถยนต์แต่ละค่าย
การเปลี่ยนเกียร์ไปมาระหว่างตำแหน่ง D และตำแหน่งตัวเลข สามารถเปลี่ยนได้ในขณะที่รถเคลื่อนที่เนื่องจากเป็นเกียร์เดินหน้าเช่นเดียวกัน แต่ต้องถอนเท้าออกจากคันเร่งก่อน เปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบคันเร่งใหม่ เพื่อความปลอดภัย
และไม่ควรเปลี่ยนคันเกียร์จากตำแหน่ง D ลงมาที่ 1 หรือ L ทันที เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ และแรงกระชากของเครื่องยนต์อาจส่งผลให้รถเสียการทรงตัวจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
ส่วนการเปลี่ยนเกียร์ในตำแหน่งอื่นต้องทำขณะที่รถยนต์จอดสนิทอยู่กับที่เท่านั้น
โดยขณะที่รถจอดอยู่กับที่และเกียร์อยู่ในตำแหน่ง N เมื่อต้องการเปลี่ยนมาอยู่ในตำแหน่งเกียร์เดินหน้า ต้องเหยียบเบรกไว้ตลอดเวลาขณะเปลี่ยนเกียร์ เพื่อป้องกันไม่ให้รถเดินหน้าทันที ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ขับขี่เกิดอาการตกใจจนกดเท้าลงบนคันเร่ง เป็นเหตุให้รถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนเกิดอุบัติเหตุได้
เมื่อเปลี่ยนเกียร์แล้วจึงยกเท้าออกจากแป้นเบรก รถยนต์จะเดินหน้าไปเองอย่างช้าๆ จากนั้นจึงค่อยๆ ออกแรงกดคันเร่งที่ละนิดจนได้ระดับความเร็วที่ต้องการ
การเปลี่ยนเกียร์ถอยหลังจากตำแหน่ง N เป็นตำแหน่ง R
ต้องทำเช่นเดียวกับการเปลี่ยนเกียร์เดินหน้า คือเหยียบเบรกไว้ตลอดเวลาขณะเปลี่ยนเกียร์ เมื่อยกเท้าออกจากแป้นเบรก รถยนต์จะถอยหลังไปเองอย่างช้าๆเพียงแต่เพิ่มขั้นตอนในการกดปุ่มปลดล็อกบริเวณด้านข้างหัวเกียร์ ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้คันเกียร์เปลี่ยนไปอยู่ที่ตำแหน่ง R โดยไม่ตั้งใจ
สำหรับการเข้าเกียร์ในตำแหน่ง P
ที่จะต้องกดปุ่มปลดล็อกเช่นเดียวกัน แต่จะต้องใช้ต่อเมื่อต้องการจอดรถอยู่กับที่นานๆ และไม่จอดกีดขวางรถผู้อื่นเท่านั้น เพราะรถจะล็อกล้อไว้จนไม่สามารถขยับได้
ไม่ควรที่จะใส่เกียร์ในตำแหน่ง P
ขณะที่จอดติดสัญญาณไฟแดง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ที่จอดต่อท้ายมาชน จะทำให้ล็อกเกียร์พังจนสร้างความเสียหายแก่เครื่องยนต์
นอกจากนั้นยังเกิดความพลั้งเผลอของตัวผู้ขับขี่เอง เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียวแล้วรีบร้อนเข้าเกียร์โดยไม่ระวัง ทำให้คันเกียร์ค้างอยู่แค่ตำแหน่ง R แทนที่จะเป็นตำแหน่ง D จนเป็นเหตุให้รถถอยหลังไปชนกับรถยนต์ที่จอดต่อท้าย